เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ม.ค. ๒๕๔๘

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๘

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


เวลาลัทธิต่างๆ ที่ว่าลัทธิถือพระเจ้าหลายองค์ ถือพระเจ้าองค์เดียว เขามีความโต้แย้งกัน พระเจ้าหลายองค์ พอพระเจ้าหลายองค์ก็กลายเป็นอวตาร แล้วก็บอกว่าจิตนี้เป็นอาตมัน จิตนี้เป็นอาตมัน ต้องกลับไปอยู่กับจิตนั้น กลับไปหาพระเจ้า กลับไปหาจิตเดิมแท้นั้น

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธทุกๆ อย่างเลย ที่ลัทธิต่างๆ สอนอยู่ พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมด เพราะว่าอาตมัน ความคงที่อยู่ มันเป็นไปไม่ได้ ในศาสนาพุทธเราถึงสอนเรื่องอนัตตาไง อนัตตาคือไม่มีสิ่งใดอยู่คงที่ ไม่มีสิ่งใดเลยอยู่คงที่ มันแปรสภาพของมันตลอดไป

แต่ความแปรสภาพของมันตลอดไป อย่างเช่นมันเกิดภัยพิบัติวงรอบหนึ่ง มันก็เป็นไปวงรอบหนึ่ง วงรอบหนึ่ง เปลือกของโลกมันเคลื่อนไหวตลอดไป มันมีสภาวะแบบนี้มานมนานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่านานๆ จะเจอสักหนหนึ่ง แล้วนานๆ จะเจอสักหนหนึ่ง แล้วคนที่เข้าไปเจอน่ะ คนที่เข้าไปเจอ นี่สภาวกรรม กรรมอันนี้พระพุทธเจ้าถึงให้เชื่อเรื่องของกรรมไง

กรรมคือการกระทำ เราทำคุณงามความดีอยู่นี่ เราอุตส่าห์สละทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทาน สละทานถึงที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องสละลูก ต้องสละเมีย ต้องสละทุกอย่าง ทุกๆ พระองค์ถ้าจะปรารถนาโพธิญาณ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์นะ

แล้วพอของเรา พระเวสสันดร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไปพระเวสสันดรว่าสละลูกสละเมีย โลกมองนะ มองในมุมต่าง มองในมุมต่างว่าเห็นแก่ตัวไง ทำไมไม่สละตัวเอง

นี่เวลาโลกมอง มองด้วยความมุมต่าง แล้วมองด้วยตื้นๆ นะ แต่เข้าใจว่าตัวเองมองได้ลึกซึ้ง ลึกซึ้งเพราะอะไร เพราะว่าสละคนอื่น ไม่สละตัวเราเองไง เอาเปรียบไง

กิเลสมันเอาเปรียบ มันคิดถึงตัวเองมันก็เอาเปรียบ แล้วมันก็ว่าตัวเองเอาเปรียบ สละลูกสละเมีย ทำไมไม่สละตัวเอง แต่ไม่คิดมุมกลับ ไม่คิดมุมกลับว่า คนที่รักลูกรักเมียแบบถวายชีวิต ลูกเมียจะเจ็บปวด ขอให้เจ็บปวดแทนก็ได้ ถ้าลูกเมียตาย ขอตายแทนก็ได้ แล้วต้องสละลูกสละเมียมันเจ็บปวดกี่ชั้น มันเจ็บปวดมากกว่านั้นอีก เพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันอยู่ที่ใจไง มันต้องสะเทือนหัวใจมาก

แล้วมีอยู่องค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ยักษ์มาขอลูกนะ แล้วกินลูกต่อหน้า มันเจ็บปวดขนาดไหน ความเจ็บปวดอันนี้มันสะเทือนหัวใจ เราจะทนได้ไหม นี่คือการสละทาน การสละทานที่ว่าการสละแสนยากไง แสนยากถึงว่าสละลูกสละเมีย

ถ้าสละลูกสละเมีย ถ้ามันมีปัญหากันมันก็สละได้ แต่ขนาดว่าเขาไม่สละ เขายังแยกจากกันได้ แต่นี่มันเป็นความผูกพันน่ะ มันเป็นความรักมาก รักมาก ขนาดสละกัณหา ชาลีไปแล้วนะ เดี๋ยวเมียกลับมาจะบอกเมียอย่างไรว่าสละลูกไปแล้วนะ คิดวางแผน เพราะรู้เลยว่าถ้าบอกว่าสละลูกไป เมียต้องช็อกตายแน่นอนเลย

พอกลับมา หาอุบายไว้ก่อน ทำไมไปหาผลไม้ช้านัก ทำไมทำอะไรเชื่องช้านัก เอ็ดไว้ก่อนไง เอ็ดไว้ก่อนเพื่อจะทำให้หัวใจนี้มันยอมรับ เวลาบอกว่าสละลูกไปแล้วมันจะได้หัวใจนี้ไม่แตก ถ้าหัวใจแตกมันจะตายขณะนั้น

นี่รู้ขนาดนั้นนะว่าถ้าบอกว่าสละลูกไป เมียจะสะเทือนใจขนาดไหน แล้วตัวเองก็สะเทือนใจขนาดไหน ความสะเทือนใจอย่างนี้กิเลสมองไม่เห็น กิเลสจะมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัวๆ ไง โลกมองไม่เห็นสภาวะแบบนั้น มองเห็นแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน นั่นกิเลสว่าอย่างนั้นนะ

นี่เหมือนกัน สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นสภาวะแบบนั้น เพียงแต่ว่าเราจะฉลาดหรือเราจะโง่กับมันไง ถ้าเราจะโง่กับมัน เราจะยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ว่าเป็นของเรา เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนี้เราจะแสวงหาของเรา แล้วสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นอนิจจัง สิ่งที่มันแปรสภาพทั้งหมด แล้วเราไปยึด เราไปแสวงหา มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่มีใครเห็นไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้ามาตรัสรู้ธรรมเข้าไป บอก โลกนี้เป็นอจินไตย มันเป็นอจินไตยนะ มันเป็นสิ่งที่คาดหมายไม่ได้ มันจะเป็นสภาวะแบบนั้นตลอดไป

ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว กี่พันล้านปี กี่ล้านปี โลกนี้มันมีสภาวะแบบนั้น แล้วมันจะล้างโลกไป ล้างโลกไป เพราะธรรมชาติมันจะแปรปรวนไปตลอด สิ่งที่แปรปรวนตลอด ถึงคราวหนึ่งมันก็หมุนกลับมาเป็นสิ่งที่ว่าโลกนี้ชุ่มเย็น ถึงคราวหนึ่งโลกนี้จะร้อนมาก มันหมุนเวียนไปสภาวะแบบนั้นของมัน มันเป็นสภาวะแบบนี้ สภาวะแบบนี้แล้วเราเกิดมาอยู่ในสภาวะแบบนี้ เราจะโง่หรือเราจะฉลาดล่ะ ถ้าเราจะโง่ เราก็ใช้ชีวิตของเราออกไป แล้วเราก็จะไปแสวงหาสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ไง แสวงหาสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย

ชีวิตนี้นะ มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเท่านั้น ถ้าชีวิตลมหายใจขาดไป ชีวิตนี้เราก็ดับไป ชีวิตดับไปนะ ชีวิตในปัจจุบันนี้ดับไป แต่ตัวจิตไม่เคยดับ

ทางฝ่ายลัทธิพราหมณ์บอกจิตนี้เป็นอาตมัน ต้องกลับไปอยู่กับจิตที่ว่าจิตเป็นพระเจ้า ต้องกลับไปอยู่กับอาตมันนั้น จิตตัวนี้ต้องไปเป็นสวามิภักดิ์นั้น

แต่ในหลักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้มีอยู่ จิตนี้เป็นสสาร จิตนี้เป็นธาตุรู้ ธาตุ ๖ คือธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นนามธรรม

ธาตุของโลกเขาเป็นธาตุที่เป็นวัตถุ แต่ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้ว อะตอมต่างๆ มันก็ละเอียดขนาดนั้น แต่ธาตุรู้ละเอียดกว่า เพราะมันมีชีวิตไง มันมีชีวิต มันมีความรู้สึก ธาตุรู้เป็นธาตุที่มีความรู้สึก อันนี้มันจะไม่เคยตาย แต่สภาวะเกิดเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์ ตายจากสภาวะต่างๆ ตายจากเทวดา อินทร์ พรหม นี่เป็นวัฏฏะ เป็นวัฏวนที่กามภพ รูปภพ อรูปภพอันนี้มันวนไป แต่ตัวจิตไม่เคยตาย พอตัวจิตไม่เคยตาย มันแปรสภาพตลอดไป

ความแปรสภาพเพราะมันมีแรงขับดันนี้ แล้วจะไปอยู่กับพระเจ้าไหน พระเจ้าจะควบคุมอันนี้ได้ไหม เพราะตัวเองพระเจ้าก็ควบคุมอะไรไม่ได้ ควบคุมไม่ได้เพราะพระเจ้าก็เป็นตัวสสารอันหนึ่ง ตัวพระเจ้าก็เป็นสสารอันหนึ่งมันไม่สามารถควบคุมได้

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าควบคุมได้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถทำตั้งแต่ปัจจุบันนี้

เวลาจิตมันฟุ้งซ่าน เวลาเราคิดของเราประสาเราไป เวลามันมีตัณหาความทะยานอยาก เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราไม่มีเลยนะ เราไม่มีสิ่งใดเลย เราสามารถสร้างโครงการได้ เราสามารถกู้ธนาคารได้ ออกมาทำโครงการของเรา เป็นสมบัติของเราได้ นี่ก็เหมือนกัน พระไตรปิฎกนี้เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราสามารถเสนอโครงการได้ไหม เราสามารถกู้ได้ไหม เราสามารถให้ธรรมวินัยนี้ยอมผ่านโครงการนี้ไหม

ถ้าเราศรัทธา มีความเชื่อ เราเสนอโครงการได้ ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมาได้ เราเริ่มจะเสนอโครงการ สิ่งนี้เราทำของเราขึ้นมาได้ ถ้าทำอันนี้ขึ้นมา สภาวธรรมที่เราทุกข์ยาก เราทุกข์จนเข็ญใจนี่ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก่อน ถ้าไม่ตรัสรู้ธรรม จะไม่มีใครสามารถรู้อันนี้ได้ เว้นไว้แต่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่านั้น มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

แต่พวกสาวก สาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟัง เห็ไนหม ผู้ได้ยินได้ฟัง แม้แต่หลวงปู่มั่นไม่มีครูบาอาจารย์สอน แต่ก็มีธรรมวินัยอยู่ ศึกษาธรรมวินัยอยู่ แต่ก็ค้นคว้าด้วยความลำบาก ความทุกข์เข็ญพอสมควร พอสมควรเพราะอะไร

เพราะกิเลสในหัวใจของเรามันปลิ้นปล้อน มันหลอกลวง มันสร้างภาพ มันต้องทำจินตนาการสภาวะแบบนั้น แล้วจิตที่เป็นนามธรรมมันสร้างภาพได้มหาศาลเลย โลกทัศน์ส่วนตัว อยู่ในโลกส่วนตัวของเรา เราจะจินตนาการขนาดไหนก็ได้ เราจะสร้างนิพพานขนาดไหนก็ได้ แต่มันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงเพราะเราไม่สามารถกู้โครงการนั้นได้ไง

ถ้าเรากู้โครงการธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เราเสนอได้ เรามีศรัทธามีความเชื่อ แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่ควบคุมใจ ควบคุมใจให้มันสงบขึ้นมาให้ได้ ถ้าใจสงบขึ้นมาได้แล้วยกขึ้นวิปัสสนาให้ได้ในกาย เวทนา จิต ธรรมตามเห็นสัจจะความจริง

ไม่ใช่กาย เวทนา จิต ธรรมด้วยการสร้างภาพ การสร้างภาพแบบนี้ การสร้างภาพแบบนี้มันสิ่งที่ว่ารู้จากภายนอกเข้ามาแล้วมันปล่อยวางเข้ามา มันไม่สามารถชำระกิเลสได้

แต่ถ้าเราสามารถทำในโครงการอันนั้นได้ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

ไม่ว่างเลยเพราะเหตุปัจจัยมันมี มันมีเหตุมีปัจจัย เหตุปัจจัยจะทำสภาวะแบบนั้น

ตัวสสารตัวนี้มันไม่เคยตาย แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิด แต่มันไม่เคยเห็นสภาวะแบบนี้ แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ในศาสนา กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอยู่ วางอยู่นะ

เราเดินไปในธนาคาร ธนาคารทางยุโรป ธนาคารเมืองไทย ล้มไปมหาศาลเลย ตั้งขึ้นมาแล้วก็ล้ม ตั้งขึ้นมาล้ม เพราะอะไร เพราะมันเป็นสมมุติ มันตั้งขึ้นมา ธนาคารเงิน ธนาคารทอง

ธรรมวินัยนี้ตั้งขึ้นมา ถึงคราวหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์หนึ่ง แล้วก็มีธรรมวินัยอันหนึ่ง มันใช้ไม่ได้จริงหรือใช้ไม่ได้ปลอมล่ะ เป็นเครดิตของธนาคารนั้นเข้มแข็งหรือธนาคารนั้นอ่อนแอล่ะ

ถ้าเราเข้าไปในธนาคารที่เข้มแข็ง ธนาคารที่ว่ามันเป็นซื่อสัตย์สุจริต เราจะได้ผลประโยชน์จากธนาคารนั้น ถ้าธนาคารนั้นเป็นธนาคารที่ว่ามันมีแต่การทุจริต เราฝากธนาคารนั้นก็โดนโกง

นี่ก็เหมือนกัน เราจะเชื่อใคร โคนำฝูง โคนำฝูงจะเป็นผู้ที่ฉลาดไง ถ้าผู้ที่ฉลาดจะพาฝูงโคนั้นขึ้นจากฝั่ง ถ้าโคนั้นไม่ฉลาดจะพาโคฝูงนั้นลงไปวังน้ำวน จะต้องไปตามกระแสนั้นหมดเลย

ย้อนกลับมาที่ตัวจิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธพระเจ้าทั้งหมด ปฏิเสธสรรพสิ่งทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พึ่งตนเอง ให้พึ่งใจของเรา

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

สภาวกรรมทำให้เขาเกิดสภาวะแบบนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อเหตุการณ์วิกฤติอย่างนั้น คนที่รอดชีวิตมาก็มหาศาลเลย ขนาดที่ว่าวิ่งเข้าไปในคลื่น แต่ก็สามารถเอาลูกของตัวเองพ้นจากภัยพิบัติมาได้ ถ้าทดสอบใจอย่างนั้น ถ้าเป็นไปอย่างนั้น มันต้องเวลาวิบัติต้องวิบัติกันหมดสิ ทำไมมันมีสภาวะแบบนั้นล่ะ

สภาวะแบบนั้นเพราะถึงคราวจนตอกจนมุม บุญกุศล ความเป็นไป จะเชื่อธรรมหรือไม่เชื่อธรรมก็แล้วแต่ ทำดีคือได้ดี ทำชั่วคือได้ชั่ว สิ่งที่ดีและชั่วนี้มันเป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องของอามิส เรื่องความเป็นไปของปัจจัย ปัจจัยสิ่งขับเคลื่อนเป็นอามิสไง

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันละเอียดกว่านั้นไง มันเป็นสิ่งที่ว่า ธรรมข้ามพ้นจากเรื่องของอามิสทั้งหมด ข้ามพ้นและดี ดี ดี ดี ดีก็ต้องข้ามพ้น แต่ต้องอาศัยความดี ดี ดีนี้ก้าวเดินไป สัมมา ความถูกต้อง ความเป็นกลาง ดี ดีจนละเอียดสุด เห็นไหม

อย่างที่ว่านั่นน่ะ ทำไมสละลูกสละเมีย ทำไมคนเขามองเห็นล่ะ แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละหัวใจ ความผูกพันกับลูกเมีย นี่ความดีจากภายในคนมองไม่เห็นนะ

นี่ก็เหมือนกัน จากความดีหยาบๆ การจุนเจือของทางโลก โลกก็จุนเจือได้ การจุนเจือกัน ทางโลกเขาจุนเจือกันตลอดไป ดูบางประเทศสิ มีเขตอุตสาหกรรม มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ แล้วในประเทศนั้น คนที่ทุกข์คนที่ยากล่ะ ความโลกเขาจุนเจือกันได้ แต่จุนเจือมันก็มีความบกพร่องตามประสาโลกอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นความดีละเอียดขึ้นมา มันละเอียดขึ้นมาจนเป็นความเห็นจากภายใน มันปล่อยวางจากใจดวงนั้นนะ ใจดวงนั้นไม่มีการทุจริตนะ ใจดวงนั้นไม่มีเจตนาในการเบียดเบียนตน

ถ้าไม่เบียดเบียนตนนะ เรามองไม่เห็นตน เราเบียดเบียนตน ไม่เห็นคุณงามความดีของตนนี้ แต่ออกไปรับรู้ข้างนอก ออกไปแสวงหาข้างนอก นี่เบียดเบียนตนโดยที่ไม่รู้ตัวเลย แต่ถ้าไม่เบียดเบียนตน เห็นดวงใจของตัวเอง เห็นที่ดับกิเลสของตัวเอง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์บอก ดวงตาของโลกดับแล้ว มันรู้แจ้งโลกนอก โลกใน

โลกในสำคัญมาก โลกใน โลกในคือโลกของตัวเอง อัตตะ ความยึดติดของใจตัวนี้ ถ้าทำลายโลกในตัวนี้หมดแล้ว มันมองสภาวะตามความเป็นจริง มันชี้นำได้ตามความเป็นจริงนะ แต่ถึงกาลถึงเวลาหรือเปล่าล่ะ

ทีนี้กระแสโลกมันแรง ขณะที่เขาไม่เชื่อ พูดไปคนนั้นบ้านะ แต่ถ้ากระแสโลกมันเปิด คนคนนั้นพูดไป มันเป็นดวงตาของโลก ดวงตาของโลก แล้วโลก ใครจะมีดวงตาที่เห็นธรรมได้มากได้น้อย มันเป็นวาสนาของใจดวงนั้น

ถ้าใจดวงนั้นวาสนาถึงเท่ากัน กระแสกรรม การทำคุณงามความดีมาด้วยกัน การกระทำอกุศลมาด้วยกัน มันเชื่อกัน มันวางใจกัน แล้วมันก็ไปตามกระแสนั้น

แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา มันจะเข้าถึงใจของเรา นี่เอาตนให้พ้นได้ ถึงบอกว่าปฏิเสธทุกอย่าง ปฏิเสธทุกๆ อย่าง จนเกิดมรรคญาณเข้ามาทำลายหัวใจของเรา อันนี้ต่างหากถึงจะเป็นความจริงไง ความจริงคือว่าหมดสิ้น เสมอภาคกันหมด ไม่มีใครสูงใครต่ำ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีสาวก ไม่มีต่างๆ เสมอภาคกันหมดเลย ถ้าจิตมันพ้นจากกิเลสนะ แต่ถ้าไม่พ้นจากกิเลส มันต้องฟังกันก่อน ครูบาอาจารย์พึ่งพาอาศัยกันอย่างนี้ แล้วจะพ้นจากภัยได้นะ

ภัยจากข้างนอกมันเป็นวัฏวน ภัยจากข้างใน ให้เห็นภัยของเรา แล้วชำระภัยของเราให้หมดได้ มันจะมีความสุข เอวัง